บทสัมภาษณ์ 1 : โลกมืด จาก นิตยสารสีสัน
2 ปีก่อน หนุ่มคนหนึ่งแวะมาเยือน "สีสัน" พร้อมกับเทปผลงานเพลงร็อกหนักหน่วงที่เตรียมไว้เสนอสังกัด เทปแห่งใดแห่งหนึ่งหรือหลายแห่ง เขาคงโชคดี..ใครบางคนคิดเช่นนั้น
แต่แล้วผลที่ได้รับรู้ภายหลังคือ ไม่มีสังกัดใดตอบรับผลงานชุดนั้น เขาเงียบหายไปก่อนที่จะกลับมาที่ "สีสัน" อีกครั้งในยามบ่ายของปลายเดืนพฤษภาคม คราวนี้ไม่ใช่ 1 แต่เป็น 3 และในนาม ดอนผีบิน
ทั้งสามเป็นพี่น้องสกุล แก้วทิตย์ สมบัติพี่ชายคนโตคือคนที่เคยมาเมื่อสองปีก่อน รับหน้าที่มือกีต้าร์ สมศักดิ์ มือกลอง เป็นน้องชายคนรอง และ สมคิด น้องคนสุดท้ายในตำแหน่งเบสส์และร้องนำ
"เราเริ่มต้นมาพร้อมๆ กัน" สมบัติเล่าย้อนหลัง "เริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่อายุ 13-14 แต่เล่นไม่เป็นจริงเป็นจัง ตอนเรียนมัธยม ต่างคนต่างก็ตั้งวงกับเพื่อน เพราะเรียนกันคนละที่ บางวงก็เล่นกลางคืนบ้างแต่ไม่ได้เล่นประจำ ส่วนมากเล่นปาร์ตี้ เรื่องตำแหน่งนี่ไม่ได้แบ่ง พอดีมันลงตัว พอเราจับกีตาร์ คนนี้ก็เคาะ คนนั้นก็ร้อง อาจจะเป็นความชอบ"
พวกเขาก็คล้ายคนเล่นดนตรีส่วนใหญ่ในรุ่นราวคราวเดียวกันที่ให้ความสนใจเพลงสากล เพียงแต่แนวทาง ที่พวกเขาเริ่มต้นเรียนรู้และสิ่งที่พวกเขาป็นอยู่ทุกวันนี้มันเป็นแนวทางเดียวกัน -เฮฟวี่ เมทัล
" เราชอบฟังเพลงสากล ตอนเริ่มต้นก็ฟัง เลด เซพพิลิน เราชอบเฮฟวี่ เมทัล ชอบตรงที่มันแสดงออกชัดเจน เนื้อหาก็พูดถึงชีวิตความเป็นอยู่ มันสอกคล้องกับพวกเรา เราอยู่บ้านนอกแล้วก็ค่อนข้างต่อสู้ พอมาเจอดนตรีแนวนี้ เป็นรูปแบบของการ แสดงออกที่รู้สึกว่ามันชัดเจนหนักหน่วงก็เลยชอบมาตลอดเลย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นการฟัง เรายึดตรงนั้นมาโดยไม่ได้เล่นแนวอื่นเลย"
จากเด็กหนุ่มที่ชื่นชอบในความหนักหน่วงของท่วงทำนองดนตรีเฮฟวี่ เมทัลพวกเขาเพียรศึกษาและฝึกฝนตัวเอง จนในที่สุดก็มาถึงจุดที่ต้องการสร้างสรรค์งานของตัวเองบ้าง
" เมื่อเราเล่นของคนอื่นมาพอสมควรเราคิดว่าเราน่าจะแต่งเพลงของเราเอง"
สมบัติ อธิบายถึงที่มาของอัลบั้ม ชุดแรก "ตอนเล่นดนตรีแรกๆ เราไม่ได้คิดว่าเราจะต้องออกเทป พอมาทำเพลงเราก็คิดว่าเราต้องมีงานเป็นของเราเอง แล้วนำงานนี้สู้สังคม แต่ไม่ได้คิดว่าเราต้องดัง เราต้องขายนั่นอีกเรื่องหนึ่ง เราไม่ได้คิดถึง รู้แต่ว่าเราต้องทำงานออกมาแล้วก็สื่อสารต่อคน
" มันเป็นลักษณะที่คล้ายๆ ภาพวาดคนที่วาดภาพ วาดเสร็จก็ต้องการที่จะให้คนดู ก็มีการจัดงานโชว์งานของตัวเอง เทปนี้ก็คงจะคล้ายๆกัน เหมือนกับงานศิลปอื่นๆ "
พวกเขาทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มตั้งแต่แต่งเพลง โดยมีการกำหนดแนวความคิดขึ้นมาก่อน แล้วก็เขียนเนื้อ โดยประมาณ 80% เป็นงานเขียนของสมบัติ
"ส่วนของดนตรีจะแบ่งหน้าที่กันชัดเจน ปล่อยไปเองอิสระเลยว่า คนนี้ทำกลอง ใช้ความคิดเองเลย โดยที่เราจะไม่ไปยุ่งเกี่ยว แล้วก็มาช่วยกันในตอยสุดท้ายว่าจะให้ออกมายังไง จะตัดตรงใหนบ้างเพิ่มตรงใหนบ้าง"
ส่วนเสียงร้องที่จะบอกผ่านสารสู่คนฟัง เป็นหน้าที่ของ สมคิดน้องชายคนสุดท้อง
"เราเทสต์เสียงกันมาออกมา"
สมศักดิ์ เป็นคนเล่าบ้าง
"ซึ่งเสียงเขาก็มีพลังพอที่จะร้องเพลงร็อค ก็เลยเป็นนักร้องนำ ผมก็คอยประสานเสียง"
หน้าที่เราถูกแบ่งสรรปันส่วนกันชัดเจน พวกเขาเลือกเอาดอนผีบินมาเป็นชื่อวง ซึ่งมีตำนานเก่าของจังหวัดน่าน บ้านเกิดเป็นแรงบรรดาลใจ
ในเขตอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่านในปัจจุบัน บริเวณที่เป็นหมู่บ้านดอนตัน ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมรภูมิการสู้รบระหว่าง ชนชาติมอญ พม่า เงี้ยว และ ไทยใหญ่ หยดเลือดและชีวิตมากมายร่วงหล่นสู่ผืนดิน มีเรื่องเล่าขานกันว่า วิญญาณของนักรบเหล่านั้นยังคงล่อง ลอยอยู่ บางค่ำคืนก็ปรากฎออกมาให้ผู้คนได้หวาดหวั่นและเรียกขานกันว่า "ดินแดนผีล่องลอย"
พวกเขาคือคนรุ่นหลังที่ได้รับการบอกเล่าตำนานนี้ และเลือกมาใช้ชื่อเป็นชื่อวง
"ชื่อนี้ไปกันได้ดีกับแนวดนตรีที่เราเล่น มันเป็นเฮพวี่ มันเป็น "ดอนผีบิน"
สำหรับศิลปินที่ทำงานเอง กว่าจะเสร็จสิ้นจนออกมาขายได้ไม่ใช่เรื่องง่าย มีกระบวนการทำงานมากมายหลายขั้นตอน ปัญหาหลากหลายเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะคนที่ไม่มีสังกัดที่สมบูรณ์พร้อมไปด้วยสรรพกำลังด้านเงินทุนและสื่อในครอบครอง
ดอนผีบิน ก็ได้พานพบปัญหาเหล่านั้น แต่โชคดี ที่เขาไม่มีปัญหาภายในซึ่งผลกระบทบรุนแรงได้ไม่น้อยกว่าปัญหา ภายนอก
" ปัญหาเรื่องการทำงานระหว่างพี่น้องวงเราไม่มี" สมบัติ บอก
"เพราะว่าความคิดของเราชัดเจน อาจเป็นเพราะว่าเราก้าวออกมาพร้อมกัน อยู่ในสภาพเดียวกัน ความเป็นอยู่ใกล้เคียงกัน เวลาอยู่ร่วมกันเยอะก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องนี้"
"ทางบ้านก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร ตั้งแต่แรกแล้ว พ่อแม่ไม่ว่าอะไร ส่วนใหญ่ท่านจะสนับสนุน แล้วก็คอยดูเราชอบอะไร ทำอะไรท่านก็จะให้กำลังใจ อย่าง เออ ดีนะ อันนั้นสนุกดี พ่อก็ง่ายๆ เขาไม่ได้กำหนดกฎเกรณ์ว่าลูกต้องอย่างนั้น อย่างนี้ พ่อ้ขาฟังเพลงเราแล้วก็บอกว่าเบาไป เรื่องเวลาส่วนใหญ่เราจะพบกันที่บ้าน เวลาที่เจอกันมากก็เสาร์-อาทิตย์วันธรรมดาเราต้องทำงาน ทำเพื่อที่จะอยู่ทำดนตรีให้ได้"
วิถีชีวิตของ 3 พี่น้องในวันปกติแยกกันไปคนละสาย สมบัติทำงานเป็นครูสอนศิลปะที่น่าน ขณะที่สมศักดิ์ ทำงานส่วนตัวที่กรุงเทพ และ สมคิด เป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้ทำงานประจำหลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ส่วนใหญ่จะใช้เวลา อยู่ที่น่านมากกว่า
แม้ว่าจะมีความรักในดนตรีและความมุ่งมั่นที่จะทำงานอยู่เต็มเปี่ยม แต่โดยเงื่อนไขของเวลาและประสบการ์ณที่มีอยู่น้อย มือสมัครเล่นอย่าง ดอนผีบิน จึงใช้เวลาราว 5 ปีทว่าเดโม เทปจะเสร็จพอที่จะนำไปเสนอสังกัดต่างๆ ได้
" รู้สึกเขาไม่รับเราเลย (หัวเราะ)"
สมบัติ ผู้ทำหน้าที่เร่เสนอผลงานเล่าผลจากการตระเวนไปหลายแห่ง
"เขาให้ เหตุผลหลายอย่าง แต่ละค่ายก็แตกต่างกันไป บางค่ายก็ต้องการพรีเซ็นท์หน้าตา คือเขาต้องการทำตามรูปแบบที่เขาอยากทำ แต่งานของเรามันเสร็จเป็นรูปร่างหมดแล้ว ก็เลยไม่ลงตัวกัน ตรงนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ปีที่คุยกัน"
เมื่อไม่สามารถจะตกลงกันได้ในหลายๆ เงื่อนไขระหว่าง ดอนผีบิน และสังกัดเทปต่างๆ ก็เหลืออีกหนทางเดียว ให้พวกเขาเดิน นั้นคือผลิตงานชุดแรกกันเอง โดยไม่มีใครสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
อุปสรรคมากมายรออยู่ข้างหน้า พวกเขารู้ดี แต่ความรักและความหลงไหลในเสน่ห์ที่ทรงพลังของเฮพวี่ เมทัล ทำให้พวกเขาไม่ยอมหยุดยั้ง
"หลังจากที่คุยกับทางบริษัทแล้วไม่ลงตัว เราก็เลยตัดสินใจว่าเราคงต้องทำกันเองแล้ว ในเมื่อไม่มีใครรับเราเลย เราต้องใช้ทุนของเราเองในการอัดเสียง ซึ่งเราก็ต้องใช้เยอะ เราทำงานไปด้วย เก็บเงินไปด้วย อัดสียงไปด้วย ใช้เวลาก็ประมาณ 2 ปี เฉพาะการอัดเสียง"
2 ปีที่ว่านั้นเร่มต้นด้วยการบันทึกเสียงกลองกับเบสส์ที่เชียงใหม่ จากนั้นเสียงกีต้าร์, เสียงร้อง และมิกซ์เสียง ขั้นสุดท้ายที่กรุงเทพฯ ถ้านับเวลาตั้งแต่พวกเขาเริ่มมีความคิดว่าต้องเสนอผลงานออกสู่สาธารณะจนถึงวันที่มันเกิดขึ้นจริง ก็เกือบ 10 ปี ผลงานชุดนี้ตั้งชื่อว่า "โลกมืด"
"ผลงานเสร็จก็ได้รู้จักกับทาง แซด ร็อก และ ร็อกซ์ รเคอร์ดส์" สมบัติ พูดถึงผู้ที่ช่วยในการวางขายตามแผง หลายแห่ง "เขาก็ทำเล็กๆ ใช้ทุนไม่มาก ก็ต้องขายแบบใต้ดิน"
นอกจากนี้ พวกเขายังหาโอกาส ตระเวณขายด้วยตัวเองบ้าง อย่างในคอนเสรร์ทของ เมทัลลิก้า ที่ผ่านมา บางคน อาจจะได้เห็นชายหนุ่มในชุดเปิดกระบะ รถปิ๊คอัพอยู่หน้าทางเข้า เพื่อขายเทปที่เป็นผลงานจากสมองและฝีมือของพวกเขา
"ผมดีใจแล้วก็สบายใจที่เทปเสร็จออกมาซะทีแบบ...เออ...ไปเลย(หัวเราะ)"-สมบัติ
"การทำงานตรงนี้มันลำบากสำหรับเรามากที่เราจะต้องสู้กับปัญหา แต่เราก็ภูมิใจ ถึงแม้มันจะเป็นที่รู้จักเพียงแคบๆ เราก็ภูมิใจว่างานเสร็จออกไปแล้ว"-สมศักดิ์
" ดีใจครับที่ได้ทำเพลงของเราเองทุกขั้นตอน"-สมคิด
นั้นคือความรู้สึกของ ดอนผีบิน
อัลบั้ม "โลกมืด" ถูกห่อหุ้มด้วยภาพวาดที่ดูน่ากลัวในสีทึมเทา เป็นฝีมือการวาดของ สมบัติ พี่ชายคนโต เขายิ้มก่อนอธิบายถึงภาพปกว่า
"มันมีความหมายเกี่ยวกับ โลกมืดวาดจากจินตนาการ มีกลางคืน มีความมืด แล้วก็ต้นไม้ที่มันสับสนวุ่นวาย แล้วก็มีตัวแทนของผี ดูแล้วไม่ต้องคิดมาก ดูแล้วอึมครึม เวิ้งว้างวังเวง ถ้าคนดูแล้วรู้สึกเราก็พอใจ บางคนอาจจะคิดว่าต้องมีจริงแน่เลย (หัวเราะ) มันเป็นจินตนาการซึ่งโยงไปถึงชื่อวงเราด้วย
"คำว่าโลกมืด คือมีภัยมืดรอบตัวเป็นสิ่งที่น่ากลัว เราไม่รู้ว่าภัยนี้จะมาหาเราเมื่อไหร่ การต่อสู้ในชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องที่เราจะต้องระวังตลอดเวลา ยิ่งในสังคมเมือง ไม่เฉพาะในกรุงเทพฯ นะ กรุงเทพฯนี่อาจจะหนักกว่า แต่ว่าต่างจังหวัดก็มีเรื่องราว เหล่านี้ คนทุกคนเจออยู่ทุกวัน มันน่าจะเป็นเรื่องที่ควรจะเอามานำเสนอแล้วให้เรามีสติ คิดอะไรมั่งก่อนที่จะทำอะไรต่างๆ"
เพลงทั้งหมดที่บรรจุอยู่ใน "โลกมืด" "ส่วนใหญ่นี่จะเป็นข้อมูลรอบตัวเรามากกว่า ไม่ส่าจะเป็นความเป็นอยู่ การเลี้ยงชีพ อะไรต่างๆ เราได้ตรงนี้เยอะ เพราะในสภาพบ้านนอกนี่ก็มีอะไรที่เด่นชัด พูดง่ายๆ คือ หยิบตรงนั้นมาทำเป็นเพลง ระบายความรู้สึกออกมา เราอยากทำอะไรออกมาให้มีสาระ แล้วก็เป็นประโยชน์ต่อสังคมให้มาก เพลงทุกเพลงที่เราทำขึ้น เราตระหนัก ต่อตัวเราอยู่ตลอดเวลาว่า ตรงนี้นะมันเจ็บปวด มันทุกข์เวลาไปเจอ คุณพยายามคิดนะ พยายาม...เรานี่แหละจะเป็นกำลังใจให้คุณทุกคนซึ่งมี ปัญหา เขาอาจจะมีกำลังใจตรงนี้ เราคิดถึงตรงนี้มากกว่า มากกว่าที่จะไปเฮ้วๆ แล้วก็จบกันไป
"ส่วนใหญ่เนื้อหาจะเป็นปรัชญาชีวิตที่อยู่ในคอนเส็ปท์อันนี้ เพลงของเราจะไม่มีเพลงเกี่ยวกับความรัก อกหัก ไม่มี เพราะมันไม่ได้อยู่ในคอนเส็ปท์นี้"
"ไม่ใช่ว่าเพลงรักไม่ดี" สมศักดิ์บอก
"ความรักเป็นเสี้ยวหนึ่งของชีวิตความรักมันยิ่งใหญ่ทุกความหมาย ไม่ว่าจะเป็น รักของหนุ่มสาว หรืออื่นๆ แต่เพลงรักของหนุ่มสาวมันมีเกลื่อนเมืองแล้ว"
เรื่องของการเขียน-แต่งทำนองเพลงนั้นปัญหาหนึ่งที่ "คนทำงาน" ในวงการดนตรีบ้านเราหลายคนติดเป็นนิสัยคือ การลอกเลียนแบบชาวต่างชาติ
"เรื่องนี้อาจติดมาบ้าง เพราะเราฟังเพลงฝรั่งเยอะ"
สมศักดิ์ มีท่าทีครุ่นคิด
"ชอบเยอะแต่ว่าเราไม่ได้จับออกมาเลย เออ..จะทำตรงนี้จับเอาตรงนั้นแบบนี้คงไม่ใช่ คือเพลงเฮพวี่หรือร็อกนี่ เราต้องยอมรับว่าเราซึมซับเอากลิ่นอาย หรือลักษณะการเล่นอะไรต่างๆ ตอนนี้เราทำเพลงของเราเอง เราพยายามที่จะเป็นตัวเองมากที่สุด"
อีกหนึ่งปัญหาหนึ่งซึ่งร็อคหรือเฮพวี่เมทัล แบนด์ของไทยมักจะประสบอยู่เสมอคือ การเขียนเนื้อร้องภาษาไทย ให้ลงตัวกับจังหวะต่างแระเทศ
"เพลงไทยที่เขาว่ามักติดวรรณยุกติ์ไม่สามารถเมโลดี้เข้ากับแนวดนตรีร็อก คงจะติดตรงการเขียนเนื้อ บางมีเราก็ติด แต่ไม่เป็นปัญหา เราเกลาได้"
"สำหรับการร้องจริงๆ แล้วคิดว่ามันไม่ยากนะฮะ มันอาจจะมีแบบที่ลงตัวของมัน แต่คนที่ว่ายากอาจหาไม่เจอ"
ประโยคท้ายเป็นนักร้องนำที่เสริมเข้ามา
ความหนักหน่วง ทะลุทะลวงความรู้สึกและการกระตุ้นหัวใจให้รัวเร็วของเฮพวี่เมทัล ทำให้เราย้อนกลับไปคิดถึงว่า ดอนผีบิน เติบโตมาท่ามกลางวัฒนธรรมและความเป็นอยู่แบบ "ภาคเหนือ" ที่ค่อนข้างเนิบนาบและหนุ่มนวล ตรงกันข้ามกับลักษณะของ เฮพวี่เมทัลโดยแท้
"มันมีปะปนกันอยู่นะฮะ แต่ส่วนใหญ่นี่ก็เนิบนาบ(หัวเราะ) แต่ก็ยังมีคึกคักอยู่บ้าง วงที่เล่นเฮพวี่ ทางเหนือก็มีเยอะ แต่ว่ามันติดอยู่ที่ใครจะมาเปิด..."
สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่สั่งสมอยู่ในจัวของ ดอนผีบิน ย่อมอดไม่ได้ที่จะแสดงออกมาในงานดนตรีของพวกเขา
"ก็มีเรื่องของซาวน์ของเมโลดี้เครื่องดนตรีนี่เรายังไม่ได้นำมาใช้ ส่วนใหญ่มีการนำเอามาประสมประสาน มีบางเพลง ที่ฟังแล้วจะได้กลิ่นอายแบบทางเหนือๆ คนได้ฟังแล้วจรู้ว่า อึ๋ย ไม่ใช่คนใต้ทำ เพราะว่าคนใต้จะทำไปอีกทางอย่างเพลง Back to The Nature ก็ฟังแล้วเป็นสำเนียงโซโล่กีต้าร์ที่เป็นไทยๆ "
อัลบั้ม "โลกมืด" ของ ดอนผีบิน วางแผงราวเดือนเมษายน จนกระทั่งวันที่เขาทั้ง 3 ได้มานั่งขัดสมาธิคุยกันแบบสบายๆ กับ "สีสัน" นั้นเทปก็ได้วิ่งไปได้ถึงหมื่นม้วน ซึ่งเป็นยอดขายที่ถือได้ว่า "สูง" สำหรับการขายของเทปไร้สังกัด สำหรับศิลปินใต้ดิน แต่เราก็ไม่รู้ยอดขายของ "โลกมืด" จะหยุดอยู่เพียงเท่านี้หรือ ยังคงวิ่งได้ต่อไปเรื่อยๆ ดอนผีบิน ก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ถ้ามามุติว่า...
" ถ้าเทปชุดนี้ล้มเหลวในทางการขายอันนี้บอกได้เลยว่าไม่มีหมดกำลังใจ เพราะว่าตั้งแต่เริ่มต้น เราก็แน่วแน่แล้วว่า เราต้องทำต่อไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็ต้องทำเพราะว่านั้นคือตัวเรา แล้วก็ชีวิตเรา"
" ในทางกลับกันถ้าเราประสบความสำเร็จ ดัง..."
"ไม่สบายใจ..ไปใหนไม่สะดวก" สมคิดพูดแทรกขึ้มาแล้วก็หัวเราะลงลูกคอ ก่อนที่สมศักดิ์จะพูดต่อ
"ก็ดีใจที่ว่าคนฟังนี่ยอมรับงานของเรา ที่เราทำงานออกมาไม่ใช่เพื่อขายหรือเพื่อการตลาด เพื่อเอาใจกลุ่มนั้น กลุ่มนี้ งานของเราเป็นศิลปะ ถ้าคนสามารถรับตรงนี้ได้ก็หมายความว่าคนฟังจะต้องกว้างขึ้น อันนี้เราคงจะดีใจมากๆ งานของเราซึ่งเรา ทำด้วยตัวเราเอง แล้วงานออกไปสามารถสื่อสารกับคนฟังได้ เราภูมิใจที่สุดเป็นสุดยอดของความฝันของเรา"
"ยังไงก็แล้วแต่ เราเริ่มทำงานชุดที่ 2 ไปแล้ว"
แล้วสมบัติก็เล่าถึงงานที่กำลังจะตาม "โลกมืด" ออกมา
"ยังไม่คิดที่จะเอาไปเสนอบริษัท ช่วงนี้ทำเองอยู่ แต่ถ้าหากจะเข้าสังกัดคือ เขาต้องยอมรับมาสเตอร์ของเรา คงต้องเป็นค่ายที่ให้ความเป็นอิสระกับศิลปิน"
"เราต้องการที่จะเป็นตัวของเราที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราคงจะต้องอยู่ด้วยตัวเราเอง มันอยู่ที่ว่าเขาให้โอกาศ เราแค่ใหน เพราะว่าก้าวแรกที่เราเดินนี่ก็ยอมรับว่า โหดสุดๆ แล้ว แบบว่ารู้มันทุกอย่างแล้วว่า กว่าที่มันจะออกมาลำบากแค่ใหน เรารู้กันทุกอย่าง แล้วถ้าหากว่าเราไม่ยึดตัวเราเองเป็นหลักนี่มันก็จะไม่มีตัวเราอยู่ตรงนั้นเลย เราคงจะยอมรับไม่ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ เราไม่อยากหลอกตัวเอง มากกว่า"
การทำงานของ ดอนผีบิน ตลอดระยะเวลา 8-9 ปีที่ผ่านมาเป็นทั้งการต่อสู้กับตัวเองและสิ่งรอบกาย ซึ่งดูเหมือน ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ผ่านมาได้ง่ายดายนักแต่ทว่า "ผล" ที่เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของดอนผีบิน ก็ทำให้พวกเรา "ชื่นใจ" ไม่น้อย เพราะไม่นาน วันนักหลังจากที่พวกเขาแนะนำตัวเองด้วยอัลบั้มเพลงชุดแรกกับแฟนเพลง จดหมายจากคนฟังเพลงซึ่งสมศักดิ์ บอกว่า "เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของพวกเรา" ก็ทยอยส่งมาถึงมือของพวกเรา
"จดหมายส่งเข้ามาเยอะ เป็นพันฉบับพวกเราภูมิใจแล้วก็ถือว่าเป็นกำลังใจ"
"รู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นนักวิจารณ์เรา เขาพูดด้วยความจริงใจ ส่วนใหญ่ที่เขียนเข้ามานี่เป็นคนที่เข้าใจและเห็นความ ตั้งใจ บางคนบอกว่า เออ..ไม่ตรงกับที่เขาตั้งความหวังไว้ ซึ่งเราก็ต้องออกตัวไว้ก่อนว่า ชุดนี้เราทำเองทั้งหมดเลย เราใช้ทุนของเราเอง งานด้านเสียง ด้านอะไรต่างๆ คงจะไม่สมบูรณ์เหมือนเทปที่ออกจากสังกัด ซึ่งตรงนี้ก็อยากให้ทางแฟนเพลงเข้าใจ ว่าเราเองก็ไม่สามารถ ที่ตะทำได้ถึงจุดที่เราตั้งความหวังไว้ แต่เราก็ทำเต็มสุดความสามารถของเรา เท่าที่เราสามารถทำได้"
ความหวังและความฝันส่วนหนึ่งของ 3 ชายหนุ่ม ในนาม ดอนผีบิน ถูกเติมให้เต็มไปแล้ว แต่ทว่านั้นไม่ใช่มั้งหมด
"เราอยากจะให้ผลงานของเราไปสู่ต่างประเทศ อย่างน้อยๆ ก็ประเทศเพื่อนบ้าน อาจจะเป็นการเอาเผยแผ่บ้าง ไม่เชิงว่าเป็นธุรกิจใหญ่โต แต่ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนมากกว่า เออ..อย่างน้อยก็ให้เขารู้ว่าทางไทยก็สร้างผลงานอย่านี้ได้เหมือนกัน ลองไปฟังดูซิ ทางโน้นเป็นไง อย่างเราก็ได้ฟังบ้าง เขาไปไกลกว่าเรามากอย่าง มาเลย์ฯ"
อุปสรรคอาจเป็นเรื่องของภาษา? "อันนี้มีส่วน แต่ดนตรีเป็นศิลปปะ สามารถที่จะติดต่อสื่อสารกันได้ บางครั้งเรารับภาษา ไม่ได้เต็มร้อย แต่เรารับดนตรีได้ ผมคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร อย่างน้อยก็มีเพลงบรรเลง"
และความฝันของพวกเขาที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นได้ภายในเร็วๆ นี้
"เราอยากมีคอนเสิร์ท แต่เราต้องดูอะไรหลายๆ อย่างก่อน ดูฟีดแบ็คจากแฟนเพลงว่าเป็นยังไง คือถ้าขายได้แค่พันม้วน เราเล่นคอนเสิร์ทคงไม่มีใครไปดูเรา คือเราต้องดูกาลเวลาด้วย แล้วคอนเสิร์ทแต่ละคอนเสิร์ทก็ต้องใช้เงินเยอะ โดยเฉพาะเฮพวี่ เมทัลนี่ทุกอย่าง จะต้องเพอร์เฟ็คท์หมด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียงหรืออะไรต่างๆ เราเองคงจะไม่มีกำลัง ก็ต้องรอดูอะไรหลายๆ อย่างก่อน"
แน่นอนที่สุดความหวังและความฝันยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดของเขาทั้ง 3 คนคือการได้ใช้ชีวิตบนสายดนตรีที่รักสายนี้ ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานภาพใด
แม้ว่าเทปบันทึกเสียงจะไม่สามารถบันทึกแววตา สีหน้าท่าทางต่งๆ ไว้ได้ แต่เราเชื่อในความทรงจำของเราทั้ง 3 จริงจังและมั่นคงเพียงใดเมื่อยืนยันว่า
แต่แล้วผลที่ได้รับรู้ภายหลังคือ ไม่มีสังกัดใดตอบรับผลงานชุดนั้น เขาเงียบหายไปก่อนที่จะกลับมาที่ "สีสัน" อีกครั้งในยามบ่ายของปลายเดืนพฤษภาคม คราวนี้ไม่ใช่ 1 แต่เป็น 3 และในนาม ดอนผีบิน
ทั้งสามเป็นพี่น้องสกุล แก้วทิตย์ สมบัติพี่ชายคนโตคือคนที่เคยมาเมื่อสองปีก่อน รับหน้าที่มือกีต้าร์ สมศักดิ์ มือกลอง เป็นน้องชายคนรอง และ สมคิด น้องคนสุดท้ายในตำแหน่งเบสส์และร้องนำ
"เราเริ่มต้นมาพร้อมๆ กัน" สมบัติเล่าย้อนหลัง "เริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่อายุ 13-14 แต่เล่นไม่เป็นจริงเป็นจัง ตอนเรียนมัธยม ต่างคนต่างก็ตั้งวงกับเพื่อน เพราะเรียนกันคนละที่ บางวงก็เล่นกลางคืนบ้างแต่ไม่ได้เล่นประจำ ส่วนมากเล่นปาร์ตี้ เรื่องตำแหน่งนี่ไม่ได้แบ่ง พอดีมันลงตัว พอเราจับกีตาร์ คนนี้ก็เคาะ คนนั้นก็ร้อง อาจจะเป็นความชอบ"
พวกเขาก็คล้ายคนเล่นดนตรีส่วนใหญ่ในรุ่นราวคราวเดียวกันที่ให้ความสนใจเพลงสากล เพียงแต่แนวทาง ที่พวกเขาเริ่มต้นเรียนรู้และสิ่งที่พวกเขาป็นอยู่ทุกวันนี้มันเป็นแนวทางเดียวกัน -เฮฟวี่ เมทัล
" เราชอบฟังเพลงสากล ตอนเริ่มต้นก็ฟัง เลด เซพพิลิน เราชอบเฮฟวี่ เมทัล ชอบตรงที่มันแสดงออกชัดเจน เนื้อหาก็พูดถึงชีวิตความเป็นอยู่ มันสอกคล้องกับพวกเรา เราอยู่บ้านนอกแล้วก็ค่อนข้างต่อสู้ พอมาเจอดนตรีแนวนี้ เป็นรูปแบบของการ แสดงออกที่รู้สึกว่ามันชัดเจนหนักหน่วงก็เลยชอบมาตลอดเลย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นการฟัง เรายึดตรงนั้นมาโดยไม่ได้เล่นแนวอื่นเลย"
จากเด็กหนุ่มที่ชื่นชอบในความหนักหน่วงของท่วงทำนองดนตรีเฮฟวี่ เมทัลพวกเขาเพียรศึกษาและฝึกฝนตัวเอง จนในที่สุดก็มาถึงจุดที่ต้องการสร้างสรรค์งานของตัวเองบ้าง
" เมื่อเราเล่นของคนอื่นมาพอสมควรเราคิดว่าเราน่าจะแต่งเพลงของเราเอง"
สมบัติ อธิบายถึงที่มาของอัลบั้ม ชุดแรก "ตอนเล่นดนตรีแรกๆ เราไม่ได้คิดว่าเราจะต้องออกเทป พอมาทำเพลงเราก็คิดว่าเราต้องมีงานเป็นของเราเอง แล้วนำงานนี้สู้สังคม แต่ไม่ได้คิดว่าเราต้องดัง เราต้องขายนั่นอีกเรื่องหนึ่ง เราไม่ได้คิดถึง รู้แต่ว่าเราต้องทำงานออกมาแล้วก็สื่อสารต่อคน
" มันเป็นลักษณะที่คล้ายๆ ภาพวาดคนที่วาดภาพ วาดเสร็จก็ต้องการที่จะให้คนดู ก็มีการจัดงานโชว์งานของตัวเอง เทปนี้ก็คงจะคล้ายๆกัน เหมือนกับงานศิลปอื่นๆ "
พวกเขาทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มตั้งแต่แต่งเพลง โดยมีการกำหนดแนวความคิดขึ้นมาก่อน แล้วก็เขียนเนื้อ โดยประมาณ 80% เป็นงานเขียนของสมบัติ
"ส่วนของดนตรีจะแบ่งหน้าที่กันชัดเจน ปล่อยไปเองอิสระเลยว่า คนนี้ทำกลอง ใช้ความคิดเองเลย โดยที่เราจะไม่ไปยุ่งเกี่ยว แล้วก็มาช่วยกันในตอยสุดท้ายว่าจะให้ออกมายังไง จะตัดตรงใหนบ้างเพิ่มตรงใหนบ้าง"
ส่วนเสียงร้องที่จะบอกผ่านสารสู่คนฟัง เป็นหน้าที่ของ สมคิดน้องชายคนสุดท้อง
"เราเทสต์เสียงกันมาออกมา"
สมศักดิ์ เป็นคนเล่าบ้าง
"ซึ่งเสียงเขาก็มีพลังพอที่จะร้องเพลงร็อค ก็เลยเป็นนักร้องนำ ผมก็คอยประสานเสียง"
หน้าที่เราถูกแบ่งสรรปันส่วนกันชัดเจน พวกเขาเลือกเอาดอนผีบินมาเป็นชื่อวง ซึ่งมีตำนานเก่าของจังหวัดน่าน บ้านเกิดเป็นแรงบรรดาลใจ
ในเขตอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่านในปัจจุบัน บริเวณที่เป็นหมู่บ้านดอนตัน ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมรภูมิการสู้รบระหว่าง ชนชาติมอญ พม่า เงี้ยว และ ไทยใหญ่ หยดเลือดและชีวิตมากมายร่วงหล่นสู่ผืนดิน มีเรื่องเล่าขานกันว่า วิญญาณของนักรบเหล่านั้นยังคงล่อง ลอยอยู่ บางค่ำคืนก็ปรากฎออกมาให้ผู้คนได้หวาดหวั่นและเรียกขานกันว่า "ดินแดนผีล่องลอย"
พวกเขาคือคนรุ่นหลังที่ได้รับการบอกเล่าตำนานนี้ และเลือกมาใช้ชื่อเป็นชื่อวง
"ชื่อนี้ไปกันได้ดีกับแนวดนตรีที่เราเล่น มันเป็นเฮพวี่ มันเป็น "ดอนผีบิน"
สำหรับศิลปินที่ทำงานเอง กว่าจะเสร็จสิ้นจนออกมาขายได้ไม่ใช่เรื่องง่าย มีกระบวนการทำงานมากมายหลายขั้นตอน ปัญหาหลากหลายเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะคนที่ไม่มีสังกัดที่สมบูรณ์พร้อมไปด้วยสรรพกำลังด้านเงินทุนและสื่อในครอบครอง
ดอนผีบิน ก็ได้พานพบปัญหาเหล่านั้น แต่โชคดี ที่เขาไม่มีปัญหาภายในซึ่งผลกระบทบรุนแรงได้ไม่น้อยกว่าปัญหา ภายนอก
" ปัญหาเรื่องการทำงานระหว่างพี่น้องวงเราไม่มี" สมบัติ บอก
"เพราะว่าความคิดของเราชัดเจน อาจเป็นเพราะว่าเราก้าวออกมาพร้อมกัน อยู่ในสภาพเดียวกัน ความเป็นอยู่ใกล้เคียงกัน เวลาอยู่ร่วมกันเยอะก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องนี้"
"ทางบ้านก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร ตั้งแต่แรกแล้ว พ่อแม่ไม่ว่าอะไร ส่วนใหญ่ท่านจะสนับสนุน แล้วก็คอยดูเราชอบอะไร ทำอะไรท่านก็จะให้กำลังใจ อย่าง เออ ดีนะ อันนั้นสนุกดี พ่อก็ง่ายๆ เขาไม่ได้กำหนดกฎเกรณ์ว่าลูกต้องอย่างนั้น อย่างนี้ พ่อ้ขาฟังเพลงเราแล้วก็บอกว่าเบาไป เรื่องเวลาส่วนใหญ่เราจะพบกันที่บ้าน เวลาที่เจอกันมากก็เสาร์-อาทิตย์วันธรรมดาเราต้องทำงาน ทำเพื่อที่จะอยู่ทำดนตรีให้ได้"
วิถีชีวิตของ 3 พี่น้องในวันปกติแยกกันไปคนละสาย สมบัติทำงานเป็นครูสอนศิลปะที่น่าน ขณะที่สมศักดิ์ ทำงานส่วนตัวที่กรุงเทพ และ สมคิด เป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้ทำงานประจำหลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ส่วนใหญ่จะใช้เวลา อยู่ที่น่านมากกว่า
แม้ว่าจะมีความรักในดนตรีและความมุ่งมั่นที่จะทำงานอยู่เต็มเปี่ยม แต่โดยเงื่อนไขของเวลาและประสบการ์ณที่มีอยู่น้อย มือสมัครเล่นอย่าง ดอนผีบิน จึงใช้เวลาราว 5 ปีทว่าเดโม เทปจะเสร็จพอที่จะนำไปเสนอสังกัดต่างๆ ได้
" รู้สึกเขาไม่รับเราเลย (หัวเราะ)"
สมบัติ ผู้ทำหน้าที่เร่เสนอผลงานเล่าผลจากการตระเวนไปหลายแห่ง
"เขาให้ เหตุผลหลายอย่าง แต่ละค่ายก็แตกต่างกันไป บางค่ายก็ต้องการพรีเซ็นท์หน้าตา คือเขาต้องการทำตามรูปแบบที่เขาอยากทำ แต่งานของเรามันเสร็จเป็นรูปร่างหมดแล้ว ก็เลยไม่ลงตัวกัน ตรงนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ปีที่คุยกัน"
เมื่อไม่สามารถจะตกลงกันได้ในหลายๆ เงื่อนไขระหว่าง ดอนผีบิน และสังกัดเทปต่างๆ ก็เหลืออีกหนทางเดียว ให้พวกเขาเดิน นั้นคือผลิตงานชุดแรกกันเอง โดยไม่มีใครสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
อุปสรรคมากมายรออยู่ข้างหน้า พวกเขารู้ดี แต่ความรักและความหลงไหลในเสน่ห์ที่ทรงพลังของเฮพวี่ เมทัล ทำให้พวกเขาไม่ยอมหยุดยั้ง
"หลังจากที่คุยกับทางบริษัทแล้วไม่ลงตัว เราก็เลยตัดสินใจว่าเราคงต้องทำกันเองแล้ว ในเมื่อไม่มีใครรับเราเลย เราต้องใช้ทุนของเราเองในการอัดเสียง ซึ่งเราก็ต้องใช้เยอะ เราทำงานไปด้วย เก็บเงินไปด้วย อัดสียงไปด้วย ใช้เวลาก็ประมาณ 2 ปี เฉพาะการอัดเสียง"
2 ปีที่ว่านั้นเร่มต้นด้วยการบันทึกเสียงกลองกับเบสส์ที่เชียงใหม่ จากนั้นเสียงกีต้าร์, เสียงร้อง และมิกซ์เสียง ขั้นสุดท้ายที่กรุงเทพฯ ถ้านับเวลาตั้งแต่พวกเขาเริ่มมีความคิดว่าต้องเสนอผลงานออกสู่สาธารณะจนถึงวันที่มันเกิดขึ้นจริง ก็เกือบ 10 ปี ผลงานชุดนี้ตั้งชื่อว่า "โลกมืด"
"ผลงานเสร็จก็ได้รู้จักกับทาง แซด ร็อก และ ร็อกซ์ รเคอร์ดส์" สมบัติ พูดถึงผู้ที่ช่วยในการวางขายตามแผง หลายแห่ง "เขาก็ทำเล็กๆ ใช้ทุนไม่มาก ก็ต้องขายแบบใต้ดิน"
นอกจากนี้ พวกเขายังหาโอกาส ตระเวณขายด้วยตัวเองบ้าง อย่างในคอนเสรร์ทของ เมทัลลิก้า ที่ผ่านมา บางคน อาจจะได้เห็นชายหนุ่มในชุดเปิดกระบะ รถปิ๊คอัพอยู่หน้าทางเข้า เพื่อขายเทปที่เป็นผลงานจากสมองและฝีมือของพวกเขา
"ผมดีใจแล้วก็สบายใจที่เทปเสร็จออกมาซะทีแบบ...เออ...ไปเลย(หัวเราะ)"-สมบัติ
"การทำงานตรงนี้มันลำบากสำหรับเรามากที่เราจะต้องสู้กับปัญหา แต่เราก็ภูมิใจ ถึงแม้มันจะเป็นที่รู้จักเพียงแคบๆ เราก็ภูมิใจว่างานเสร็จออกไปแล้ว"-สมศักดิ์
" ดีใจครับที่ได้ทำเพลงของเราเองทุกขั้นตอน"-สมคิด
นั้นคือความรู้สึกของ ดอนผีบิน
อัลบั้ม "โลกมืด" ถูกห่อหุ้มด้วยภาพวาดที่ดูน่ากลัวในสีทึมเทา เป็นฝีมือการวาดของ สมบัติ พี่ชายคนโต เขายิ้มก่อนอธิบายถึงภาพปกว่า
"มันมีความหมายเกี่ยวกับ โลกมืดวาดจากจินตนาการ มีกลางคืน มีความมืด แล้วก็ต้นไม้ที่มันสับสนวุ่นวาย แล้วก็มีตัวแทนของผี ดูแล้วไม่ต้องคิดมาก ดูแล้วอึมครึม เวิ้งว้างวังเวง ถ้าคนดูแล้วรู้สึกเราก็พอใจ บางคนอาจจะคิดว่าต้องมีจริงแน่เลย (หัวเราะ) มันเป็นจินตนาการซึ่งโยงไปถึงชื่อวงเราด้วย
"คำว่าโลกมืด คือมีภัยมืดรอบตัวเป็นสิ่งที่น่ากลัว เราไม่รู้ว่าภัยนี้จะมาหาเราเมื่อไหร่ การต่อสู้ในชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องที่เราจะต้องระวังตลอดเวลา ยิ่งในสังคมเมือง ไม่เฉพาะในกรุงเทพฯ นะ กรุงเทพฯนี่อาจจะหนักกว่า แต่ว่าต่างจังหวัดก็มีเรื่องราว เหล่านี้ คนทุกคนเจออยู่ทุกวัน มันน่าจะเป็นเรื่องที่ควรจะเอามานำเสนอแล้วให้เรามีสติ คิดอะไรมั่งก่อนที่จะทำอะไรต่างๆ"
เพลงทั้งหมดที่บรรจุอยู่ใน "โลกมืด" "ส่วนใหญ่นี่จะเป็นข้อมูลรอบตัวเรามากกว่า ไม่ส่าจะเป็นความเป็นอยู่ การเลี้ยงชีพ อะไรต่างๆ เราได้ตรงนี้เยอะ เพราะในสภาพบ้านนอกนี่ก็มีอะไรที่เด่นชัด พูดง่ายๆ คือ หยิบตรงนั้นมาทำเป็นเพลง ระบายความรู้สึกออกมา เราอยากทำอะไรออกมาให้มีสาระ แล้วก็เป็นประโยชน์ต่อสังคมให้มาก เพลงทุกเพลงที่เราทำขึ้น เราตระหนัก ต่อตัวเราอยู่ตลอดเวลาว่า ตรงนี้นะมันเจ็บปวด มันทุกข์เวลาไปเจอ คุณพยายามคิดนะ พยายาม...เรานี่แหละจะเป็นกำลังใจให้คุณทุกคนซึ่งมี ปัญหา เขาอาจจะมีกำลังใจตรงนี้ เราคิดถึงตรงนี้มากกว่า มากกว่าที่จะไปเฮ้วๆ แล้วก็จบกันไป
"ส่วนใหญ่เนื้อหาจะเป็นปรัชญาชีวิตที่อยู่ในคอนเส็ปท์อันนี้ เพลงของเราจะไม่มีเพลงเกี่ยวกับความรัก อกหัก ไม่มี เพราะมันไม่ได้อยู่ในคอนเส็ปท์นี้"
"ไม่ใช่ว่าเพลงรักไม่ดี" สมศักดิ์บอก
"ความรักเป็นเสี้ยวหนึ่งของชีวิตความรักมันยิ่งใหญ่ทุกความหมาย ไม่ว่าจะเป็น รักของหนุ่มสาว หรืออื่นๆ แต่เพลงรักของหนุ่มสาวมันมีเกลื่อนเมืองแล้ว"
เรื่องของการเขียน-แต่งทำนองเพลงนั้นปัญหาหนึ่งที่ "คนทำงาน" ในวงการดนตรีบ้านเราหลายคนติดเป็นนิสัยคือ การลอกเลียนแบบชาวต่างชาติ
"เรื่องนี้อาจติดมาบ้าง เพราะเราฟังเพลงฝรั่งเยอะ"
สมศักดิ์ มีท่าทีครุ่นคิด
"ชอบเยอะแต่ว่าเราไม่ได้จับออกมาเลย เออ..จะทำตรงนี้จับเอาตรงนั้นแบบนี้คงไม่ใช่ คือเพลงเฮพวี่หรือร็อกนี่ เราต้องยอมรับว่าเราซึมซับเอากลิ่นอาย หรือลักษณะการเล่นอะไรต่างๆ ตอนนี้เราทำเพลงของเราเอง เราพยายามที่จะเป็นตัวเองมากที่สุด"
อีกหนึ่งปัญหาหนึ่งซึ่งร็อคหรือเฮพวี่เมทัล แบนด์ของไทยมักจะประสบอยู่เสมอคือ การเขียนเนื้อร้องภาษาไทย ให้ลงตัวกับจังหวะต่างแระเทศ
"เพลงไทยที่เขาว่ามักติดวรรณยุกติ์ไม่สามารถเมโลดี้เข้ากับแนวดนตรีร็อก คงจะติดตรงการเขียนเนื้อ บางมีเราก็ติด แต่ไม่เป็นปัญหา เราเกลาได้"
"สำหรับการร้องจริงๆ แล้วคิดว่ามันไม่ยากนะฮะ มันอาจจะมีแบบที่ลงตัวของมัน แต่คนที่ว่ายากอาจหาไม่เจอ"
ประโยคท้ายเป็นนักร้องนำที่เสริมเข้ามา
ความหนักหน่วง ทะลุทะลวงความรู้สึกและการกระตุ้นหัวใจให้รัวเร็วของเฮพวี่เมทัล ทำให้เราย้อนกลับไปคิดถึงว่า ดอนผีบิน เติบโตมาท่ามกลางวัฒนธรรมและความเป็นอยู่แบบ "ภาคเหนือ" ที่ค่อนข้างเนิบนาบและหนุ่มนวล ตรงกันข้ามกับลักษณะของ เฮพวี่เมทัลโดยแท้
"มันมีปะปนกันอยู่นะฮะ แต่ส่วนใหญ่นี่ก็เนิบนาบ(หัวเราะ) แต่ก็ยังมีคึกคักอยู่บ้าง วงที่เล่นเฮพวี่ ทางเหนือก็มีเยอะ แต่ว่ามันติดอยู่ที่ใครจะมาเปิด..."
สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่สั่งสมอยู่ในจัวของ ดอนผีบิน ย่อมอดไม่ได้ที่จะแสดงออกมาในงานดนตรีของพวกเขา
"ก็มีเรื่องของซาวน์ของเมโลดี้เครื่องดนตรีนี่เรายังไม่ได้นำมาใช้ ส่วนใหญ่มีการนำเอามาประสมประสาน มีบางเพลง ที่ฟังแล้วจะได้กลิ่นอายแบบทางเหนือๆ คนได้ฟังแล้วจรู้ว่า อึ๋ย ไม่ใช่คนใต้ทำ เพราะว่าคนใต้จะทำไปอีกทางอย่างเพลง Back to The Nature ก็ฟังแล้วเป็นสำเนียงโซโล่กีต้าร์ที่เป็นไทยๆ "
อัลบั้ม "โลกมืด" ของ ดอนผีบิน วางแผงราวเดือนเมษายน จนกระทั่งวันที่เขาทั้ง 3 ได้มานั่งขัดสมาธิคุยกันแบบสบายๆ กับ "สีสัน" นั้นเทปก็ได้วิ่งไปได้ถึงหมื่นม้วน ซึ่งเป็นยอดขายที่ถือได้ว่า "สูง" สำหรับการขายของเทปไร้สังกัด สำหรับศิลปินใต้ดิน แต่เราก็ไม่รู้ยอดขายของ "โลกมืด" จะหยุดอยู่เพียงเท่านี้หรือ ยังคงวิ่งได้ต่อไปเรื่อยๆ ดอนผีบิน ก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ถ้ามามุติว่า...
" ถ้าเทปชุดนี้ล้มเหลวในทางการขายอันนี้บอกได้เลยว่าไม่มีหมดกำลังใจ เพราะว่าตั้งแต่เริ่มต้น เราก็แน่วแน่แล้วว่า เราต้องทำต่อไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็ต้องทำเพราะว่านั้นคือตัวเรา แล้วก็ชีวิตเรา"
" ในทางกลับกันถ้าเราประสบความสำเร็จ ดัง..."
"ไม่สบายใจ..ไปใหนไม่สะดวก" สมคิดพูดแทรกขึ้มาแล้วก็หัวเราะลงลูกคอ ก่อนที่สมศักดิ์จะพูดต่อ
"ก็ดีใจที่ว่าคนฟังนี่ยอมรับงานของเรา ที่เราทำงานออกมาไม่ใช่เพื่อขายหรือเพื่อการตลาด เพื่อเอาใจกลุ่มนั้น กลุ่มนี้ งานของเราเป็นศิลปะ ถ้าคนสามารถรับตรงนี้ได้ก็หมายความว่าคนฟังจะต้องกว้างขึ้น อันนี้เราคงจะดีใจมากๆ งานของเราซึ่งเรา ทำด้วยตัวเราเอง แล้วงานออกไปสามารถสื่อสารกับคนฟังได้ เราภูมิใจที่สุดเป็นสุดยอดของความฝันของเรา"
"ยังไงก็แล้วแต่ เราเริ่มทำงานชุดที่ 2 ไปแล้ว"
แล้วสมบัติก็เล่าถึงงานที่กำลังจะตาม "โลกมืด" ออกมา
"ยังไม่คิดที่จะเอาไปเสนอบริษัท ช่วงนี้ทำเองอยู่ แต่ถ้าหากจะเข้าสังกัดคือ เขาต้องยอมรับมาสเตอร์ของเรา คงต้องเป็นค่ายที่ให้ความเป็นอิสระกับศิลปิน"
"เราต้องการที่จะเป็นตัวของเราที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราคงจะต้องอยู่ด้วยตัวเราเอง มันอยู่ที่ว่าเขาให้โอกาศ เราแค่ใหน เพราะว่าก้าวแรกที่เราเดินนี่ก็ยอมรับว่า โหดสุดๆ แล้ว แบบว่ารู้มันทุกอย่างแล้วว่า กว่าที่มันจะออกมาลำบากแค่ใหน เรารู้กันทุกอย่าง แล้วถ้าหากว่าเราไม่ยึดตัวเราเองเป็นหลักนี่มันก็จะไม่มีตัวเราอยู่ตรงนั้นเลย เราคงจะยอมรับไม่ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ เราไม่อยากหลอกตัวเอง มากกว่า"
การทำงานของ ดอนผีบิน ตลอดระยะเวลา 8-9 ปีที่ผ่านมาเป็นทั้งการต่อสู้กับตัวเองและสิ่งรอบกาย ซึ่งดูเหมือน ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ผ่านมาได้ง่ายดายนักแต่ทว่า "ผล" ที่เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของดอนผีบิน ก็ทำให้พวกเรา "ชื่นใจ" ไม่น้อย เพราะไม่นาน วันนักหลังจากที่พวกเขาแนะนำตัวเองด้วยอัลบั้มเพลงชุดแรกกับแฟนเพลง จดหมายจากคนฟังเพลงซึ่งสมศักดิ์ บอกว่า "เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของพวกเรา" ก็ทยอยส่งมาถึงมือของพวกเรา
"จดหมายส่งเข้ามาเยอะ เป็นพันฉบับพวกเราภูมิใจแล้วก็ถือว่าเป็นกำลังใจ"
"รู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นนักวิจารณ์เรา เขาพูดด้วยความจริงใจ ส่วนใหญ่ที่เขียนเข้ามานี่เป็นคนที่เข้าใจและเห็นความ ตั้งใจ บางคนบอกว่า เออ..ไม่ตรงกับที่เขาตั้งความหวังไว้ ซึ่งเราก็ต้องออกตัวไว้ก่อนว่า ชุดนี้เราทำเองทั้งหมดเลย เราใช้ทุนของเราเอง งานด้านเสียง ด้านอะไรต่างๆ คงจะไม่สมบูรณ์เหมือนเทปที่ออกจากสังกัด ซึ่งตรงนี้ก็อยากให้ทางแฟนเพลงเข้าใจ ว่าเราเองก็ไม่สามารถ ที่ตะทำได้ถึงจุดที่เราตั้งความหวังไว้ แต่เราก็ทำเต็มสุดความสามารถของเรา เท่าที่เราสามารถทำได้"
ความหวังและความฝันส่วนหนึ่งของ 3 ชายหนุ่ม ในนาม ดอนผีบิน ถูกเติมให้เต็มไปแล้ว แต่ทว่านั้นไม่ใช่มั้งหมด
"เราอยากจะให้ผลงานของเราไปสู่ต่างประเทศ อย่างน้อยๆ ก็ประเทศเพื่อนบ้าน อาจจะเป็นการเอาเผยแผ่บ้าง ไม่เชิงว่าเป็นธุรกิจใหญ่โต แต่ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนมากกว่า เออ..อย่างน้อยก็ให้เขารู้ว่าทางไทยก็สร้างผลงานอย่านี้ได้เหมือนกัน ลองไปฟังดูซิ ทางโน้นเป็นไง อย่างเราก็ได้ฟังบ้าง เขาไปไกลกว่าเรามากอย่าง มาเลย์ฯ"
อุปสรรคอาจเป็นเรื่องของภาษา? "อันนี้มีส่วน แต่ดนตรีเป็นศิลปปะ สามารถที่จะติดต่อสื่อสารกันได้ บางครั้งเรารับภาษา ไม่ได้เต็มร้อย แต่เรารับดนตรีได้ ผมคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร อย่างน้อยก็มีเพลงบรรเลง"
และความฝันของพวกเขาที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นได้ภายในเร็วๆ นี้
"เราอยากมีคอนเสิร์ท แต่เราต้องดูอะไรหลายๆ อย่างก่อน ดูฟีดแบ็คจากแฟนเพลงว่าเป็นยังไง คือถ้าขายได้แค่พันม้วน เราเล่นคอนเสิร์ทคงไม่มีใครไปดูเรา คือเราต้องดูกาลเวลาด้วย แล้วคอนเสิร์ทแต่ละคอนเสิร์ทก็ต้องใช้เงินเยอะ โดยเฉพาะเฮพวี่ เมทัลนี่ทุกอย่าง จะต้องเพอร์เฟ็คท์หมด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียงหรืออะไรต่างๆ เราเองคงจะไม่มีกำลัง ก็ต้องรอดูอะไรหลายๆ อย่างก่อน"
แน่นอนที่สุดความหวังและความฝันยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดของเขาทั้ง 3 คนคือการได้ใช้ชีวิตบนสายดนตรีที่รักสายนี้ ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานภาพใด
แม้ว่าเทปบันทึกเสียงจะไม่สามารถบันทึกแววตา สีหน้าท่าทางต่งๆ ไว้ได้ แต่เราเชื่อในความทรงจำของเราทั้ง 3 จริงจังและมั่นคงเพียงใดเมื่อยืนยันว่า
"ดนตรีคือชีวิตของเรา"
ORIGINAL : THANK Ble
CTD zine : ธ.ค. 2007
02 Sep 2021
Share